บทที่ 13 : Zero Trust คืออะไร แนวคิดรักษาความปลอดภัยยุคใหม่
คำนำ
ในอดีตองค์กรส่วนใหญ่ใช้แนวคิด "ป้องกันจากขอบเขตภายนอก" (Perimeter Security) คือ ถ้าเข้ามาในระบบได้แล้ว ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ในโลกยุคใหม่ที่มีการทำงานแบบ Remote Work, Cloud, SaaS, IoT, BYOD (Bring Your Own Device) การรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป
แนวคิดใหม่ที่ชื่อว่า Zero Trust จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออกแบบระบบความปลอดภัย
1. Zero Trust คืออะไร?
Zero Trust (ศูนย์ความไว้วางใจ) เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า:
"ไม่ควรไว้วางใจใครหรือสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่ามาจากภายนอกหรือภายในองค์กร ต้องตรวจสอบทุกครั้งก่อนให้เข้าถึงทรัพยากร"
ทุกการเข้าถึงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบตัวตน (Authentication), การอนุญาต (Authorization) และการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
2. หลักการสำคัญของ Zero Trust
-
Never Trust, Always Verify
ไม่ไว้วางใจอะไรทั้งสิ้น ต้องตรวจสอบทุกครั้ง -
Least Privilege Access
ให้สิทธิ์เฉพาะสิ่งที่จำเป็นที่สุดเท่านั้น -
Micro-Segmentation
แบ่งระบบออกเป็นส่วนย่อย ๆ ป้องกันการเคลื่อนย้ายของภัยคุกคามภายใน -
Continuous Monitoring
เฝ้าระวังและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานและระบบตลอดเวลา -
Assume Breach
สมมุติว่าอาจมีการเจาะระบบเกิดขึ้นตลอดเวลา
3. ทำไม Zero Trust จึงสำคัญในยุคปัจจุบัน?
-
ระบบงานย้ายไป Cloud มากขึ้น
-
พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Remote Work)
-
อุปกรณ์พกพามากขึ้น (Mobile, Tablet)
-
การเชื่อมต่อกับ Partner, Vendor ภายนอก
-
ภัยคุกคามจาก Insider (คนในองค์กรเอง)
-
การโจมตีมีความซับซ้อนและยากจะตรวจจับขึ้นเรื่อย ๆ
4. องค์ประกอบหลักของ Zero Trust Architecture
-
Identity & Access Management (IAM)
ระบบจัดการตัวตนและสิทธิ์การเข้าถึง -
Multi-Factor Authentication (MFA)
ใช้หลายปัจจัยร่วมกันในการยืนยันตัวตน -
Device Trust
ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้งานว่าปลอดภัยหรือไม่ -
Network Segmentation
แบ่งเครือข่ายย่อยเพื่อลดความเสี่ยง -
Endpoint Security
ปกป้องคอมพิวเตอร์ เครื่องพกพา IoT ทุกตัว -
Data Protection
ควบคุมการเข้าถึงและเคลื่อนย้ายข้อมูลสำคัญ -
Security Information and Event Management (SIEM)
ระบบเก็บ Log วิเคราะห์ และแจ้งเตือนเหตุการณ์ผิดปกติ
5. ตัวอย่างการนำ Zero Trust ไปใช้จริง
-
ผู้ใช้ต้องยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่าน + MFA ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน
-
หากอุปกรณ์ไม่มี Antivirus หรือ Patch ล่าสุด → ไม่อนุญาตให้เข้าใช้งาน
-
ทุกแอปพลิเคชันต้องตรวจสอบสิทธิ์แยกจากกัน (Application-Level Access Control)
-
ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior Analytics) หากพบการกระทำผิดปกติ → แจ้งเตือนหรือระงับการใช้งานทันที
-
การเข้าถึงข้อมูลสำคัญถูกจำกัดเฉพาะเวลา/สถานที่/อุปกรณ์ที่ได้รับอนุญาต
6. Zero Trust ไม่ใช่เพียง "ผลิตภัณฑ์" แต่เป็น "แนวคิด"
หลายคนเข้าใจผิดว่า Zero Trust คือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่จริง ๆ แล้ว Zero Trust คือ แนวคิดเชิงสถาปัตยกรรม ที่ต้องอาศัย:
-
การออกแบบนโยบายความปลอดภัย
-
การประสานหลายระบบทำงานร่วมกัน
-
การปรับวัฒนธรรมองค์กร
7. ตัวอย่างเทคโนโลยีที่รองรับ Zero Trust
-
Azure Active Directory (AAD)
-
Google BeyondCorp
-
Okta Identity Cloud
-
Cisco Zero Trust
-
Zscaler Zero Trust Exchange
-
Palo Alto Prisma Access
8. ประโยชน์ของ Zero Trust
-
ลดความเสียหายจากการโจมตี (Containment)
-
ป้องกันภัยคุกคามจาก Insider
-
ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด
-
รองรับการทำงานจากทุกที่ (Remote Work Security)
-
เพิ่มความสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย (Compliance)
9. ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Zero Trust
-
ต้องวางแผนและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
-
ใช้เวลาและทรัพยากรในการปรับระบบเดิม
-
ต้องมีการฝึกอบรมบุคลากร
-
ต้องผสานเทคโนโลยีหลากหลายให้ทำงานสอดคล้องกัน
10. บทสรุป
Zero Trust คือแนวคิดความปลอดภัยเครือข่ายยุคใหม่ที่ตอบโจทย์รูปแบบการทำงานแบบ Distributed, Remote และ Cloud ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย การออกแบบระบบ IT ในยุคนี้จึงควรพิจารณา Zero Trust เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความปลอดภัยองค์กรอย่างยั่งยืน
ป้ายกำกับ
บทความ
Facebook SDK
CSS Content ( แสดงทุกหน้าของบทความ )
COKKIE POPUP